ภัยเงียบทำร้ายผิว เจ้าฝุ่นจิ๋ว PM2.5

ภัยเงียบทำร้ายผิว เจ้าฝุ่นจิ๋ว PM2.5

  • “ผิวหนัง” เป็นอวัยวะที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในการปกคลุมอวัยวะภายในร่างกาย ผิวหนังจึงเป็นอวัยวะสำคัญที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาพอากาศได้ง่ายมาก
  • ฝุ่น PM2.5 มีขนาดประมาณแค่ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมคนเรา ซึ่งเล็กเกินกว่าขนจมูกของเราจะกรองเจ้าฝุ่นจิ๋วนี้ไว้ได้
  • ฝุ่น PM2.5 เป็นสารประกอบจำพวกคาร์บอน มีคุณสมบัติละลายในน้ำมันได้ดี สามารถแทรกซึมผ่านผิวชั้นนอกลงไปยังเซลล์ผิวหนังชั้นในได้ โดยอนุภาคละอองฝุ่นจะทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) กับผิว ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ จะส่งผลร้ายโดยตรงต่อการทำงานของเซลล์ผิวได้ถึงระดับยีน มีผลทำให้ผิวเสื่อมชรารวดเร็วขึ้น เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรัง และมะเร็งผิวหนัง
  • รับมือภัยเงียบจอมวายร้ายฝุ่นจิ๋ว PM2.5 เข้าสู่ผิวหนัง ด้วยการดูแลถนอมเซลล์ผิวให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ โดยการปรับฟื้นคืนความสมดุลแก่เซลล์ผิวจากสารสกัดธรรมชาติที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัดสามารถเคลือบผิวชั้นนอก เพื่อช่วยปกคลุมเซลล์ผิวเสมือนเป็นเกราะป้องกันผิวชั้นนอก ซึ่งจะช่วยป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เล็ดรอดเข้าไปทำลายเซลล์ผิวชั้นในได้

เคยไหมเวลาเราเหนื่อยล้า อยากจะหนีไปอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์มาฟอกปอด คลายความอ่อนเพลีย เติมเต็มความสดชื่น รับพลังงานดีๆ จากอ้อมกอดของธรรมชาติ มันเหมือนกับว่า เราได้พาทั้งกายและใจออกไปชำระล้างพิษจากมลภาวะต่างๆ จิตใจจะรู้สึกเบิกบานซาบซ่านไปทั่วอณูของร่างกาย

อากาศบริสุทธิ์ มีผลดีต่อระบบทางเดินหายใจ ที่เป็นกระบวนการเริ่มต้นของการส่งออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ภายในร่างกาย แล้วยังมีผลเชื่อมต่อกับประสิทธิภาพการทำงานของอวัยวะทั้งหลาย แน่นอนว่า “ผิวหนัง” เป็นอวัยวะที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในการปกคลุมอวัยวะภายในร่างกาย ผิวหนังจึงเป็นอวัยวะสำคัญที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาพอากาศได้ง่ายมาก แต่ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันการหาพื้นที่อากาศบริสุทธิ์ในประเทศไทยเริ่มน้อยลงทุกวัน อากาศร้อนมากขึ้นทุกปี ยิ่งสองสามปีที่ผ่านมา เรายังเผชิญวิกฤต “เจ้าฝุ่นจิ๋ว PM2.5” หนักขึ้นจนกลายเป็นปัญหามลภาวะทางอากาศระดับชาติ จริงๆ ต้องบอกว่าเกิดเป็นปัญหาทั่วโลกไปแล้ว เมื่อผิวหนังต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมและมลภาวะต่างๆ ตลอดเวลาเช่นนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องรู้จักหันมาดูแลสุขภาพผิวพรรณกันไว้ ก่อนผิวสวยใสจะกลายเป็นผิวเสีย แล้วลุกลามจนเกิดเป็นโรคเรื้อรังร้ายแรงได้อย่างไม่คาดฝัน

รู้ไหมว่า คำว่า PM ย่อมาอะไร และ ฝุ่น PM2.5 เล็กแค่ไหนกัน ? ? 

PM มาจากคำว่า “Particulate Matters” หมายถึง ฝุ่นละอองที่เป็นสารแขวนลอยในบรรยากาศโดยมีการแบ่งประเภทตามขนาดของฝุ่นละออง และมีการใช้หน่วยวัดขนาดเป็นไมครอนหรือไมโครเมตร เช่น

  • ฝุ่นใหญ่ ขนาดไม่เกิน 100 ไมครอน (Total Suspended Particles/ TSP)
  • ฝุ่นละอองเล็ก ขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (Coarse Particulate Matter/ Particulate Matter 10/ PM10)
  • ฝุ่นละอองจิ๋ว ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (Fine Particle/ Fine Particulate Matter 2.5/ PM2.5)
  • ฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 1.0 ไมครอน (PM1.0)

ฝุ่นใหญ่หรือฝุ่นละอองหยาบ เป็นฝุ่นมีขนาดที่เรามองเห็นได้ จะเกราะอยู่บริเวณผิวหนังชั้นนอก ซึ่งสามารถล้างทำความสะอาดได้ไม่ยากนัก แต่ฝุ่นละอองอนุภาคขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM 10) และ 2.5 ไมครอน (PM2.5) มันจะแขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ ฝุ่น PM2.5 มันเล็กจิ๋วละเอียดจนไม่สามารถแยกออกด้วยสายตา มีขนาดเพียงแค่ 1 ใน 25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมคนเรา ซึ่งเล็กเกินกว่าขนจมูกของเราจะกรองเจ้าฝุ่นจิ๋วนี้ไว้ได้ ทำให้ PM2.5 กลายเป็นภัยที่มองไม่เห็น ไม่มีกลิ่น แต่เมื่อเจ้าฝุ่น PM2.5 มาแผ่อยู่รวมกัน จะกินพื้นที่ในอากาศมหาศาล ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศปริมาณสูง เกิดเป็นหมอกควันอย่างที่เราเห็นกันบ่อยในปัจจุบัน ซึ่งฝุ่นละอองชนิดนี้สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด แทรกซึมสู่กระบวนการทำงานในอวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ง่าย และกว่าเราจะรู้ตัวอีกทีนั้น ก็อาจจะสายไปเสียแล้ว

อันตรายย่องเบาของเจ้าฝุ่นละออง PM2.5

ฝุ่นจิ๋ว PM2.5 มักเป็นสารประกอบจำพวกคาร์บอน มีคุณสมบัติละลายในน้ำมันได้ดี สามารถจับตัวกับสารเคมีและโลหะต่างๆ แทรกซึมผ่านผิวชั้นนอกลงไปยังเซลล์ผิวหนังชั้นในได้ โดยอนุภาคละอองฝุ่นจะทำปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) กับผิว ทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ผิว รบกวนสมดุลต่างๆ ของร่างกาย และกระตุ้นยีนที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งสารอักเสบ ซึ่งมีอันตรายต่อเนื้อเยื่อในร่างกายมาก PM2.5 เป็นตัวการสำคัญทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ผิวหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำ และยังไปกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบของเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นคัน

โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นโรคผิวหนังบอบบางอยู่แล้ว เช่น โรคภูมิแพ้ผิวหนัง หรือโรคผื่นผิวหนังอักเสบ จะยิ่งมีการคันระคายเคือง และผื่นกำเริบมากขึ้นได้ จากงานวิจัยของต่างประเทศหลายสถาบัน อาทิ ในประเทศจีน เกาหลี และเยอรมัน พบว่า หากผิวได้รับการสัมผัสกับเจ้าฝุ่นจิ๋วอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ยิ่งจะส่งผลร้ายโดยตรงต่อการทำงานของเซลล์ผิวได้ถึงระดับยีนและโครโมโซม มีผลทำให้ผิวเสื่อมชรารวดเร็วขึ้น เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรัง มะเร็งผิวหนัง รวมถึงแพร่กระจายเป็นอันตรายต่ออวัยวะส่วนอื่นของร่างกายได้ในที่สุด โดยเฉพาะเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปอด โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดในสมอง และโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ เนื่องจากสารมลพิษในฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM2.5 นี้ สามารถทะลุเข้าไปถึงถุงลมปอดได้ทันที จึงสามารถทำลายอวัยวะของระบบทางเดินหายใจโดยตรง ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองตา ระคายคอ แน่นหน้าอก หายใจถี่ หลอดลมอักเสบ เกิดโรคหอบหืด ถุงลมโป่งพอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน และหากมีฝุ่นจิ๋ว PM2.5 บางส่วนที่สามารถเล็ดรอดผ่านผนังถุงลมเข้าสู่เส้นเลือดฝอย มันจะล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด และกระจายตัวแทรกซึมไปก่อให้เกิดโรคร้ายแรงทั่วร่างกายของเราโดยที่ไม่รู้ตัวได้เลย

ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1997 United States Environmental Protection Agency (USEPA) จึงได้กำหนดค่ามาตรฐานฝุ่นละอองที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับหรือเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM2.5) ไว้ในมาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศของประเทศสหรัฐอเมริกา (National Ambient Air Quality Standards: NAAQS) เพื่อป้องกันความปลอดภัยสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้สำรวจพบว่า มีประชากรที่ต้อง “เสียชีวิตก่อนวัยอันควร” เนื่องจากมลพิษในอากาศทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านคนในแต่ละปี ในจำนวนนี้ เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ถึงร้อยละ 10 หรือประมาณ 600,000 คน เมื่อคุณภาพอากาศย่ำแย่ลงจนเกิดเป็นปัญหามลพิษทางอากาศระดับโลก อัตราการเข้าใช้บริการห้องฉุกเฉิน หรือการเข้าโรงพยาบาลจะสูงขึ้น หากประเทศไหนมีระบบรัฐสวัสดิการแก่ประชากรอย่างเพียงพอ ก็จะสามารถลดอัตราการสูญเสียชีวิตของประชาชนไว้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ภัยของฝุ่นจิ๋ว PM2.5 มันสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ยิ่งหากสูดดม PM2.5 สะสมเป็นระยะเวลานาน ยิ่งสืบผลลงสู่ระดับพันธุกรรมได้เลย และจะอันตรายมากกับทารกในครรภ์รุ่นต่อไป เพราะฝุ่น PM2.5 สามารถเข้าไปทำลายถึงตัวเทโลเมียร์ ที่เป็นดีเอ็นเอกำหนดอายุขัยของสิ่งมีชีวิต ส่งผลให้โครโมโซมมีขนาดสั้นลง ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตแก่เร็วขึ้น และอายุจะสั้นลงนั่นเอง

เจาะเวลาหาต้นกำเนิดเจ้าฝุ่นร้าย PM2.5

แท้จริงเจ้าฝุ่น PM2.5 เกิดขึ้นมาเนิ่นนานกว่า 100 ปี ตั้งแต่มีสังคมยุคอุตสาหกรรมเจริญมากขึ้น เพียงแต่สมัยนั้น ยังไม่มีวิวัฒนการเครื่องมือในการวัดค่าของฝุ่น และสภาพแวดล้อมทั่วโลกยังไม่ถูกทำลายมากเท่าปัจจุบัน ปัญหาฝุ่นจิ๋ว PM2.5 จึงยังไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คนมากนัก เมื่อเวลาล่วงเลยไป ความก้าวหน้าของแหล่งอุตสาหกรรมเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด พร้อมทั้งทรัพยากรธรรมชาติถูกใช้หมดไปอย่างไร้การแยแส ฝุ่นละออง PM2.5 จึงค่อยๆคืบคลานสร้างปัญหาจนเกิดเป็นภัยวิกฤตทางอากาศที่ร้ายแรงไปทั่วโลก โดยทั่วไปฝุ่นละอองเกิดขึ้นเป็นปกติได้ตามธรรมชาติอยู่แล้ว

แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองเพิ่มมากขึ้นมาจากการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมล้นเมือง ไม่ว่าจะโรงผลิตไฟฟ้า รถยนต์ หรือเครื่งจักรต่างๆ เป็นต้น รวมถึงการเผาไม้ทำลายป่า เผาขยะ กระบวนการเผาต่างๆที่นำมาซึ่งควันไฟ เช่น ควันท่อไอเสียของยานพาหนะ ควันบุหรี่ หรือการปล่อยควันเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดปริมาณของฝุ่นในอากาศสูงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้เองจะกลายเป็นแหล่งต้นตอสำคัญในการผลิตฝุ่นละออง PM2.5 ขึ้นในชั้นบรรยากาศได้ หากการเผาไหม้เชื้อเพลิงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นนั้นไม่สมบูรณ์

3 เคล็ดลับ รับมือกับภัยเงียบจอมวายร้ายฝุ่นจิ๋ว PM2.5 

อย่างแรกสำคัญที่สุดเลย ยังไม่ใช่การหาหน้ากากมาใส่ป้องกันนะตัวเธอ เราต้องฝึกสร้างจิตสำนึกให้ตัวเองก่อน ด้วยการลด ละ เลิก กิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศ เริ่มจากสิ่งใกล้ตัวได้เลย เช่น ลดหรือเลิกการจุดธูป วิธีการเคารพบูชาสามารถตั้งจิตอธิฐานด้วยความตั้งมั่นได้นะ หรือถ้ายังมีความเชื่ออย่างแรงกล้า ก็พยายามลดก็ยังดี ลดการเผาขยะ เดี๋ยวนี้มีการณรงค์แยกขยะเอาไปรีไซเคิลได้หลายวิธีนะ ลดการสูบบุหรี่เถอะ ลดการใช้รถยนต์ เปลี่ยนไปใช้รถสาธารณะแทน ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนแปลงกันแล้ว เพื่อช่วยกันลดปริมาณเจ้าฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ให้ได้ มิเช่นนั้น พวกเรานี่แหละ จะเจ็บป่วยจากภัยเงียบ PM2.5 นี้เอง

อย่างที่สอง วันไหนสภาพอากาศมีมลภาวะจากฝุ่น PM2.5 เข้าเส้นอันตราย ต้องหาหน้ากากสวมป้องกันไว้ โดยเฉพาะถ้าจะต้องเดินทางออกนอกบ้าน หรืออยู่กลางแจ้ง หน้ากากที่สามารถป้องกันเจ้าฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ได้ ต้องใช้หน้ากากมาตรฐาน N95 เพราะผลิตจากเส้นใยพิเศษที่สามารถกรองฝุ่นละออง หรือเชื้อโรคที่มีขนาดใหญ่กว่า 0.3 ไมครอนได้ ทำให้ป้องกันฝุ่นขนาด PM2.5 ไมครอน ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าหน้ากากอนามัยทั่วไป แต่ข้อเสีย คือ ราคาค่อนข้างแพง จึงแนะนำให้สายประหยัด DIY ใช้หน้ากากอนามัย ซ้อนทิชชู 2 ชั้นไว้ด้านใน มีงานวิจัยแล้วว่า สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้เกือบเทียบเท่าหน้ากาก N95 เลยล่ะ หรือหากจวนตัวหาหน้ากากไม่ได้เลยจริงๆ ใช้ผ้าชุบน้ำ บิดหมาดๆ ปิดจมูกปิดปากไว้ก่อนก็ยังดีกว่าหายใจเอาเจ้า PM2.5 เข้าไปเต็มๆ ข้อนี้เป็นการป้องกันภัยเงียบ PM2.5 เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากที่สามารถก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ในร่างกายได้ต่อไป

อย่างที่สาม ข้อนี้สำคัญไม่แพ้การใส่หน้ากากเพื่อป้องกัน PM2.5 เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ก็คือ เราต้องป้องกันเจ้าฝุ่น PM2.5 เข้าสู่ผิวหนังด้วย เจ้าฝุ่นจิ๋ว PM2.5 จะเข้าสู่ร่างกายได้ 2 ทาง ได้แก่ ทางการหายใจ และทางผิวหนัง !! ฝุ่น PM2.5 มันเล็กมากๆ เล็กกว่าขนจมูกอีกนี่ไง มันถึงสามารถเล็ดลอดลงสู่ผิวหนังได้โดยที่เราไม่รู้ตัวและอาจไม่ได้คาดคิดเอาไว้เลย ตามที่เกริ่นไว้ว่า “ผิวหนัง เป็นอวัยวะที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในการปกคลุมอวัยวะภายในร่างกาย ดังนั้น เจ้าฝุ่นละอองจิ๋ว PM2.5 ซึ่งเป็นสารประกอบจำพวกคาร์บอน มีคุณสมบัติละลายในน้ำมันได้ดี จึงสามารถเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนัง แทรกซึมผ่านผิวชั้นนอกลงไปยังเซลล์ผิวชั้นในได้ไม่ยาก และหากไม่ป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง กระทั่งลุกลามกลายเป็นเซลล์เนื้อร้าย ที่เรียกว่า มะเร็งผิวหนัง และอาจกระจายเป็นอันตรายต่ออวัยวะส่วนอื่นของร่างกายได้นั่นเอง” เราจะไปหาเสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยพิเศษชนิดเดียวกับหน้ากาก N95 ก็อาจจะยังไม่มี หรือหากมีแล้ว จะมีสักกี่คนที่กระเป๋าหนักพอจะซื้อใส่ได้ ฉะนั้น การป้องกันผิว ให้รอดพ้นจากเจ้าฝุ่นร้ายเงียบ PM2.5 นี้ คือ การดูแลถนอมเซลล์ผิวให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ

โดยเฉพาะผิวชั้นนอกที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน เสมือนป้อมปราการด่านแรกที่ต้องคอยคุ้มกันไม่ให้ศัตรูร้ายอย่าง PM2.5 ผ่านเข้าไปได้ การสร้างเสริมเซลล์ผิวให้แข็งแรง ต้องเริ่มต้นด้วยการฟื้นฟูปรับความสมดุลให้แก่เซลล์ผิว เพราะจะทำให้เซลล์ผิวช่วยสร้างสารต้านอนุมูลอิสระไว้คอยดักจับเจ้าฝุ่นจิ๋ว PM2.5 อีกทั้ง ยังช่วยลดการอักเสบ การระคายเคืองจากฤทธิ์ของ PM2.5 ได้ ด้วยนวัตกรรมปัจจุบัน มีสารสกัดบำรุงผิวหลายชนิดที่สามารถป้องกันมลภาวะและฝุ่นละออง PM2.5 ได้ ซึ่งมีการนำมาวิจัยและผลิตเป็นตัวช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะทางอากาศ ด้วยลักษณะของเนื้อสัมผัสหลายรูปแบบ ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่แนะนำ ได้แก่ “เซรั่ม” ด้วยเนื้อสัมผัสที่มีโมเลกุลขนาดเล็กมาก และะมีความเข้นข้นของสารออกฤทธิ์สำคัญ (Active Ingredients) สูงกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประเภทอื่น ทำให้เซรั่มสามารถซึมซามเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว

และล้ำลึกถึงระดับโครงสร้างเซลล์ผิว อีกทั้ง ลักษณะเนื้อบางเบาของเซรั่ม จะทำให้ลดโอกาสเกิดการอุดตันของผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุของการแพ้ระคายเคืองนั่นเอง แต่ใช่ว่าเซรั่มทุกชนิดจะป้องกันเจ้าฝุ่นละออง PM2.5 ได้ทุกตัวนะ ทั้งนี้ ยังขึ้นกับองค์ประกอบของสารสกัดในเซรั่มแต่ละสูตรที่นักวิจัยหรือผู้ผลิตค้นคว้าขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาผิวพรรณเรื่องใด

 

ที่มา : skinphilic